ใครสงสัย ข้อสอบ ก.พ. คืออะไร? ทำไมต้องสอบ? และใครควรสอบ?
สอบ ก.พ. เป็นด่านแรกที่ผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการต้องผ่าน ถือเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้วัดความรู้พื้นฐานของผู้สมัครงานราชการทั่วประเทศ หากคุณกำลังวางแผนสมัครงานราชการ การสอบนี้คือสิ่งที่คุณต้องรู้จักและเตรียมตัวให้ดี
สอบ ก.พ. คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับการเตรียมสอบราชการ

1. สอบ ก.พ. คืออะไร?
เป็นแบบทดสอบมาตรฐานที่ออกโดย สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) เพื่อใช้คัดเลือกบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งงานในภาครัฐ การสอบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นข้าราชการ เนื่องจากเป็นขั้นตอนแรกที่ต้องผ่านก่อนจึงจะสามารถสมัครเข้ารับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ ได้
ข้อสอบ ก.พ. ถูกออกแบบมาเพื่อวัด ความสามารถพื้นฐาน ของผู้สมัครในด้านการคิดวิเคราะห์ ความสามารถด้านตัวเลข ทักษะด้านภาษา และความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและระบบราชการ โดยมีโครงสร้างข้อสอบแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่
- ภาค ก: การสอบวัดความรู้พื้นฐาน ซึ่งเป็นข้อสอบภาคบังคับที่ทุกคนต้องสอบผ่านก่อนจึงจะสามารถสมัครสอบภาคอื่น ๆ ได้
- ภาค ข: การสอบเฉพาะตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร โดยเป็นข้อสอบที่วัดความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งที่ต้องการสมัคร
- ภาค ค: การสัมภาษณ์เพื่อประเมินบุคลิกภาพ ทัศนคติ และความเหมาะสมกับตำแหน่ง
ผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการจำเป็นต้องสอบผ่าน ภาค ก ก่อนจึงจะสามารถเข้าสู่กระบวนการสอบภาค ข และภาค ค ได้
1.1 เหตุผลที่ต้องทำข้อสอบ ก.พ.
ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานราชการสามารถคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ต้องการ การสอบนี้มีวัตถุประสงค์หลัก ดังนี้
1. เป็นเงื่อนไขหลักในการสมัครงานราชการทุกระดับ
ทุกตำแหน่งงานในภาครัฐจำเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้และความสามารถตามเกณฑ์ที่กำหนด ข้อสอบ ก.พ. จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการคัดกรองบุคลากรที่มีศักยภาพเพื่อทำงานในหน่วยงานราชการ
2. ใช้เป็นมาตรฐานวัดความรู้และทักษะพื้นฐานของผู้สมัคร
ข้อสอบ ก.พ. ออกแบบมาเพื่อทดสอบทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการทำงานในระบบราชการ ได้แก่
- ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เช่น การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ การใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
- ความสามารถทางภาษา ได้แก่ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการทำงานราชการ
- ความรู้เกี่ยวกับระบบราชการและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3. มีอายุผลสอบตลอดชีวิต ไม่ต้องสอบซ้ำหากสอบผ่านแล้ว
ข้อได้เปรียบสำคัญของการ สอบ ก.พ. คือ ผลสอบภาค ก ไม่มีวันหมดอายุ เมื่อสอบผ่านแล้วสามารถใช้ยื่นสมัครงานราชการได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องสอบใหม่
1.2 ข้อสอบ ก.พ. ใครบ้างที่ต้องทำ?
การเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการเข้าทำงานในภาครัฐสามารถเข้าสู่ระบบราชการได้ง่ายขึ้น โดยบุคคลที่ควรสอบ ก.พ. ได้แก่
1. นักศึกษาจบใหม่ที่ต้องการทำงานราชการ
นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาระดับ ปวช. ปวส. ปริญญาตรี หรือสูงกว่า และต้องการสมัครงานในหน่วยงานราชการจำเป็นต้องสอบ ก.พ. เพื่อให้มีคุณสมบัติพร้อมสำหรับการสมัครงานในตำแหน่งต่าง ๆ
2. พนักงานราชการที่ต้องการสอบบรรจุเป็นข้าราชการประจำ
พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว หรือบุคลากรที่ทำงานในภาครัฐที่ต้องการเปลี่ยนสถานะจากพนักงานสัญญาจ้างไปเป็นข้าราชการเต็มตัว จะต้องสอบผ่าน ก.พ. เพื่อให้สามารถสมัครสอบในตำแหน่งข้าราชการประจำได้
3. บุคคลทั่วไปที่สนใจทำงานในภาครัฐ
ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์และสนใจสมัครงานในหน่วยงานราชการสามารถสอบ ก.พ. เพื่อใช้เป็นใบเบิกทางสำหรับการทำงานในภาครัฐ
สิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าทำงานในหน่วยงานราชการ โดยเป็นข้อสอบที่ใช้วัดความรู้พื้นฐานและทักษะที่จำเป็นในการทำงานในภาครัฐ หากคุณต้องการสมัครงานราชการ ควรเริ่มต้นเตรียมตัวสอบ ก.พ. ตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้มีโอกาสสอบผ่านและเข้าสู่เส้นทางอาชีพที่มั่นคงในภาครัฐต่อไป

2. โครงสร้างข้อสอบ ก.พ.: เข้าใจรูปแบบข้อสอบและวิธีการเตรียมตัวให้พร้อม
เราควรเตรียมสอบ ก.พ. ก่อนเข้ากระบวนการคัดเลือกบุคลากรเข้าสู่หน่วยงานราชการ โดยมีโครงสร้างข้อสอบที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัดความรู้ความสามารถที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานราชการที่หลากหลาย ข้อสอบ ก.พ. แบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่ ภาค ก (ความรู้พื้นฐาน), ภาค ข (ข้อสอบเฉพาะตำแหน่ง), และ ภาค ค (การสัมภาษณ์และประเมินบุคลิกภาพ) แต่ละภาคมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับงานราชการ
2.1 การสอบภาค ก (General Ability Test)
การสอบภาค ก เป็นข้อสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไป ซึ่งเป็น สิ่งที่ผู้สมัครต้องสอบผ่านก่อน เพื่อให้มีสิทธิ์สมัครสอบในภาคอื่น ๆ
โครงสร้างข้อสอบภาค ก
ข้อสอบภาค ก ครอบคลุม 3 วิชาหลัก ได้แก่
- วิชาความสามารถทั่วไป (คณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์) – 100 คะแนน
- การวิเคราะห์เชิงปริมาณและตรรกะ
- การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ เช่น สมการ พีชคณิต ร้อยละ อัตราส่วน
- การวิเคราะห์ข้อมูล ตาราง กราฟ และชุดตัวเลข
- การหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล
- วิชาภาษาไทย (ไวยากรณ์และการอ่านจับใจความ) – 50 คะแนน
- การใช้คำและไวยากรณ์ที่ถูกต้อง
- การวิเคราะห์โครงสร้างประโยค
- การอ่านจับใจความ และสรุปประเด็นสำคัญจากบทความ
- วิชาภาษาอังกฤษ (ไวยากรณ์ คำศัพท์ และการอ่าน) – 50 คะแนน
- คำศัพท์พื้นฐานและคำศัพท์ที่พบบ่อยในงานราชการ
- ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เช่น Tense, Prepositions, Articles
- การอ่านจับใจความจากบทความสั้น ๆ
เกณฑ์ผ่านข้อสอบภาค ก
ผู้สมัครต้องทำคะแนนให้ได้ไม่น้อยกว่า 60% ในแต่ละหมวด เพื่อให้สอบผ่านภาค ก และมีสิทธิ์สมัครสอบภาค ข และภาค ค ต่อไป
เคล็ดลับการเตรียมตัวสอบภาค ก
- หาแนวข้อสอบ ก.พ. ภาค ก มาทำเพื่อจับจุดแนวการถามและฝึกฝนเพื่อให้มั่นใจก่อนไปสอบจริง
- ฝึกทำข้อสอบเก่าที่ออกบ่อย เช่น คณิตศาสตร์พื้นฐาน ตรรกศาสตร์ และการอ่านจับใจความ
- ศึกษาหลักไวยากรณ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมฝึกทำข้อสอบแนว Reading Comprehension
- บริหารเวลาในการทำข้อสอบ เนื่องจากมีข้อสอบจำนวนมากที่ต้องทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
2.2 การสอบภาค ข (Professional Test)
ภาค ข เป็นการสอบวัดความรู้เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่ต้องการสมัคร ผู้สมัครต้องสอบผ่านภาค ก ก่อนจึงจะสามารถสอบภาค ข ได้
โครงสร้างข้อสอบภาค ข
ข้อสอบภาค ข แตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่สมัคร เช่น
- นักวิเคราะห์นโยบายและแผน: ทดสอบความรู้ด้านเศรษฐกิจ นโยบายสาธารณะ การวางแผนกลยุทธ์
- นิติกร: ทดสอบความรู้ด้านกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับงานราชการ
- นักวิชาการศึกษา: ทดสอบความรู้ด้านระบบการศึกษา การบริหารการศึกษา และหลักสูตรการเรียนการสอน
- นักจัดการงานทั่วไป: ทดสอบความรู้ด้านบริหารงานสำนักงาน การจัดซื้อจัดจ้าง และเอกสารทางราชการ
วิธีการเตรียมตัวสอบภาค ข
- ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัครโดยเฉพาะ
- อ่านกฎหมาย ระเบียบ และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ต้องการสมัคร
- ฝึกทำข้อสอบเฉพาะทางของตำแหน่งงานที่สนใจ
หมายเหตุ: ข้อสอบภาค ข อาจแตกต่างกันไปในแต่ละหน่วยงาน ผู้สมัครควรตรวจสอบรายละเอียดจากประกาศสอบของแต่ละหน่วยงาน
2.3 การสอบภาค ค (Interview)
ภาค ค เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการคัดเลือกข้าราชการ โดยเน้นการ สัมภาษณ์และการประเมินบุคลิกภาพ เพื่อดูความเหมาะสมกับตำแหน่งที่สมัคร
สิ่งที่ถูกประเมินในการสอบภาค ค
- บุคลิกภาพ และความสามารถในการสื่อสาร
- การพูด การแสดงออก และการตอบคำถามในสถานการณ์ต่าง ๆ
- ความมั่นใจ และทัศนคติที่เหมาะสมกับการเป็นข้าราชการ
- ความรู้เกี่ยวกับหน่วยงานและตำแหน่งที่สมัคร
- หน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่ง
- โครงสร้างของหน่วยงานที่สมัคร
- นโยบายของรัฐบาล และสถานการณ์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับงานราชการ
- ทัศนคติและจริยธรรมในการทำงานราชการ
- ความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาล (Good Governance)
- ความซื่อสัตย์ สุจริต และจิตสำนึกในการเป็นข้าราชการ
- ทดสอบจิตวิทยา หรือร่างกาย (บางตำแหน่ง)
- บางตำแหน่ง เช่น ทหาร ตำรวจ หรืองานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ อาจต้องผ่านการทดสอบร่างกาย
- อาจมีการทำแบบทดสอบจิตวิทยาเพื่อประเมินทัศนคติในการทำงาน
เคล็ดลับการเตรียมตัวสอบภาค ค
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานที่สมัคร และบทบาทหน้าที่ของตำแหน่งที่ต้องการ
- ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์ เช่น “ทำไมถึงอยากเป็นข้าราชการ?” หรือ “คุณมีแผนการพัฒนาตัวเองอย่างไร?”
- ซักซ้อมการสัมภาษณ์กับเพื่อนหรือที่ปรึกษา เพื่อให้สามารถตอบคำถามได้อย่างมั่นใจ
- แต่งกายสุภาพเรียบร้อย และตรงต่อเวลาในวันสัมภาษณ์

3. วิธีสมัครสอบ ก.พ. และขั้นตอนการลงทะเบียน
การสมัครสอบ ก.พ. เป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำอย่างถูกต้องและตรงตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้สามารถเข้าสอบและมีสิทธิ์สมัครงานในหน่วยงานราชการได้ โดยกระบวนการสมัครสอบ ก.พ. เป็นแบบออนไลน์ทั้งหมด ทำให้สะดวกและสามารถสมัครได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต มาดูบทความ วิธีสมัครสอบ ก.พ. เพิ่มเติมได้เลย
3.1 วิธีสมัครสอบ ก.พ.
การสมัครสอบ ก.พ. สามารถทำได้ผ่านทางเว็บไซต์ของ สำนักงาน ก.พ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ผู้สมัครจะต้องทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. เข้าไปที่เว็บไซต์ สำนักงาน ก.พ.
ผู้ที่ต้องการสมัครสอบต้องเข้าไปที่ เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.พ. (https://www.ocsc.go.th) ซึ่งเป็นช่องทางหลักสำหรับการรับสมัครสอบทุกประเภท
2. ลงทะเบียนบัญชีผู้ใช้ และกรอกข้อมูลส่วนตัว
- ผู้สมัครต้องสร้างบัญชีผู้ใช้ในระบบของสำนักงาน ก.พ.
- กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ และข้อมูลการติดต่อ
- อัปโหลดเอกสารที่จำเป็น เช่น รูปถ่ายขนาดตามที่กำหนด
3. เลือกประเภทของการสอบที่ต้องการสมัคร
สำนักงาน ก.พ. จัดสอบหลายประเภท ได้แก่
- ภาค ก: ข้อสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ต้องสอบผ่านก่อนสมัครภาคอื่น ๆ)
- ภาค ข: ข้อสอบเฉพาะตำแหน่ง (ต้องสอบผ่านภาค ก ก่อน)
- ภาค ค: การสอบสัมภาษณ์และการประเมินคุณสมบัติ (ต้องผ่านภาค ก และภาค ข ก่อน)
4. ชำระค่าธรรมเนียมการสอบออนไลน์
หลังจากเลือกประเภทของการสอบที่ต้องการสมัครแล้ว ผู้สมัครต้องชำระค่าธรรมเนียมผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น
- บัตรเครดิต/เดบิต
- พร้อมเพย์
- โอนเงินผ่านธนาคารที่กำหนด
หมายเหตุ: ต้องชำระเงินภายในเวลาที่กำหนด มิฉะนั้น การสมัครจะถูกยกเลิก
5. ดาวน์โหลดบัตรประจำตัวสอบและเข้ารับการสอบตามวันและเวลาที่กำหนด
- หลังจากชำระเงินเรียบร้อยแล้ว สำนักงาน ก.พ. จะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ
- ผู้สมัครต้อง ดาวน์โหลดบัตรประจำตัวสอบ และตรวจสอบสนามสอบที่ได้รับมอบหมาย
- เข้าสอบตามวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนด พร้อมนำเอกสารที่จำเป็น เช่น บัตรประชาชน
3.2 กำหนดการสอบ ก.พ. ปี 2568
การสอบ ก.พ. มีการจัดสอบเป็นรอบ ๆ ในแต่ละปี โดยในปี 2568 กำหนดวันสำคัญไว้ดังนี้
กำหนดการสมัครสอบ
- เปิดรับสมัคร: 30 มกราคม – 20 กุมภาพันธ์ 2568
- ปิดรับสมัคร: 20 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 23:59 น.
วันสอบแต่ละประเภท
สำนักงาน ก.พ. กำหนดวันสอบตามประเภทของการสอบดังนี้
1. การสอบแบบ Paper & Pencil (สอบแบบกระดาษคำตอบ)
- วันสอบ: 3 สิงหาคม 2568
- สถานที่สอบ: สนามสอบที่ระบุในบัตรประจำตัวสอบ
2. การสอบแบบ e-Exam (สอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์)
- ช่วงเวลาสอบ: มีนาคม – พฤษภาคม 2568
- สถานที่สอบ: ศูนย์สอบ e-Exam ที่กำหนดในแต่ละภูมิภาค
หมายเหตุ:
- ผู้สมัครสามารถเลือกสอบ Paper & Pencil หรือ e-Exam ได้ตามความสะดวก
- การสอบ e-Exam จะเปิดรอบสอบหลายรอบภายในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม
ข้อควรระวังในการสมัครสอบ ก.พ.
- ตรวจสอบคุณสมบัติของตนเองก่อนสมัคร
- ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนด เช่น วุฒิการศึกษา อายุ และสถานะทางกฎหมาย
- ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนด เช่น วุฒิการศึกษา อายุ และสถานะทางกฎหมาย
- กรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน
- ข้อมูลที่กรอกในระบบต้องตรงกับบัตรประชาชน
- หากพบว่าข้อมูลผิดพลาด อาจถูกตัดสิทธิ์สอบ
- ชำระเงินภายในเวลาที่กำหนด
- ค่าธรรมเนียมการสมัครต้องชำระตามช่องทางที่กำหนด และต้องชำระก่อนวันปิดรับสมัคร
- ค่าธรรมเนียมการสมัครต้องชำระตามช่องทางที่กำหนด และต้องชำระก่อนวันปิดรับสมัคร
- ตรวจสอบสถานที่สอบล่วงหน้า
- ผู้สมัครควรเช็กสถานที่สอบก่อนวันสอบจริง เพื่อป้องกันความสับสนในวันสอบ
- ผู้สมัครควรเช็กสถานที่สอบก่อนวันสอบจริง เพื่อป้องกันความสับสนในวันสอบ
- เตรียมเอกสารให้พร้อมในวันสอบ
- บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง)
- บัตรประจำตัวสอบ ที่พิมพ์จากระบบ
- เครื่องเขียนที่จำเป็น เช่น ดินสอ 2B ยางลบ และปากกา

4. เทคนิคการเตรียมตัวสอบ ก.พ. ให้ผ่านฉลุย
เพื่อเข้าสู่เส้นทางข้าราชการไทย ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการสอบนี้ จำเป็นต้องมี เทคนิคการเตรียมตัวที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงกลยุทธ์ในการทำข้อสอบให้ทันเวลา
ในหัวข้อนี้ เราจะเจาะลึกเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้คุณอ่านหนังสือได้เร็วขึ้น ฝึกทำข้อสอบอย่างมีประสิทธิภาพ และบริหารเวลาในห้องสอบได้อย่างมืออาชีพ
4.1 วิธีอ่านหนังสือให้เข้าใจเร็ว
การอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ ก.พ. ไม่ใช่เพียงการท่องจำเนื้อหาเท่านั้น แต่ต้องใช้ เทคนิคการสรุปและเชื่อมโยงความรู้ เพื่อให้สามารถเข้าใจและจดจำข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
1. ใช้เทคนิคการสรุปย่อ และ Mind Map
✅ การสรุปย่อ: จดใจความสำคัญในรูปแบบย่อ ทำให้สามารถทบทวนเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
✅ Mind Map: ใช้แผนผังภาพในการเชื่อมโยงแนวคิด ทำให้จดจำโครงสร้างความรู้ได้ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่าง:
- วิชาคณิตศาสตร์: สร้าง Mind Map เกี่ยวกับสูตรคำนวณที่จำเป็น
- วิชาภาษาไทย: สร้างสรุปเกี่ยวกับหลักไวยากรณ์และประเภทของคำ
- วิชาภาษาอังกฤษ: ทำ Flashcards สำหรับคำศัพท์และไวยากรณ์
2. อ่านแนวข้อสอบเก่า และฝึกทำให้สม่ำเสมอ
✅ ศึกษารูปแบบข้อสอบเก่า เพื่อทำความเข้าใจแนวทางของข้อสอบ
✅ ฝึกทำข้อสอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดความกังวลในวันสอบ
แนะนำ:
- ศึกษา ข้อสอบย้อนหลัง 3-5 ปี เพื่อดูแนวโน้มคำถามที่ออกบ่อย
- ทำแบบฝึกหัดวันละ 10-20 ข้อ เพื่อฝึกวิเคราะห์และแก้โจทย์ได้เร็วขึ้น
3. ใช้เทคนิค PQ4R เพื่อจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้น
เทคนิค PQ4R เป็นเทคนิคการอ่านที่ช่วยให้จดจำและเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น
📌 PQ4R มี 6 ขั้นตอน:
- Preview (P): อ่านภาพรวมของเนื้อหาก่อน
- Question (Q): ตั้งคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังจะอ่าน
- Read (R): อ่านเนื้อหาอย่างละเอียด
- Reflect (R): คิดเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
- Recite (R): ทบทวนและสรุปความเข้าใจ
- Review (R): ทบทวนซ้ำอีกครั้งเพื่อให้จดจำได้ดีขึ้น
4.2 การฝึกทำข้อสอบเก่า
“Practice makes perfect” – การฝึกทำข้อสอบเก่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบ ก.พ.
1. ฝึกทำข้อสอบเก่าอย่างน้อย 10-15 ชุด
✅ ฝึกทำข้อสอบในแต่ละวิชาเพื่อทำความคุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบ
✅ เริ่มจากการทำข้อสอบแบบไม่มีเวลา จากนั้นค่อยเพิ่มความเร็วตามเวลาที่กำหนด
2. เน้นข้อสอบที่ออกบ่อย เช่น คณิตศาสตร์พื้นฐาน และภาษาอังกฤษ
✅ คณิตศาสตร์พื้นฐาน: การคิดคำนวณ หาค่าร้อยละ อัตราส่วน ตรรกศาสตร์
✅ ภาษาอังกฤษ: การเลือกใช้คำศัพท์ ไวยากรณ์ และการอ่านจับใจความ
เคล็ดลับ:
- หากพบว่าวิชาใดทำคะแนนได้ต่ำ ควรเน้นทำข้อสอบวิชานั้นมากขึ้น
- ใช้วิธี เฉลยแบบอธิบาย เพื่อให้เข้าใจแนวคิดในการแก้โจทย์
3. ทำแบบฝึกหัด จับเวลาเสมือนจริง
✅ ตั้งเวลาทำข้อสอบให้เหมือนวันสอบจริง
✅ ใช้สัญลักษณ์ “✅ ❌ 🔍” กำกับคำตอบที่ถูก ผิด และข้อที่ต้องทบทวนเพิ่มเติม
ตัวอย่างการจับเวลา:
- ทำข้อสอบ 50 ข้อ ภายใน 60 นาที
- ทำข้อสอบ 100 ข้อ ภายใน 2 ชั่วโมง
4.3 การบริหารเวลาในห้องสอบ
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้หลายคนสอบไม่ผ่าน คือ การบริหารเวลาไม่ดี ทำให้ทำข้อสอบไม่ทัน เทคนิคด้านล่างนี้จะช่วยให้คุณใช้เวลาได้คุ้มค่ามากขึ้น
1. ทำข้อสอบวิชาที่ง่ายก่อน แล้วค่อยไปทำข้อสอบที่ยาก
✅ เริ่มจากข้อที่มั่นใจ เพื่อเก็บคะแนนก่อน
✅ ข้ามข้อที่ทำไม่ได้ และกลับมาทำในภายหลัง
ตัวอย่างการจัดลำดับการทำข้อสอบ:
- ข้อสอบภาษาไทย (ง่ายกว่าและไม่ต้องคำนวณ)
- ข้อสอบภาษาอังกฤษ (ใช้เวลาพอสมควรในการอ่าน)
- ข้อสอบคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ (ใช้เวลามากที่สุด)
2. แบ่งเวลาให้เหมาะสม
✅ หากข้อสอบมี 100 ข้อ และมีเวลา 2 ชั่วโมง
➡️ ควรใช้เวลา 1 นาที 12 วินาที ต่อข้อ
ตัวอย่างแผนบริหารเวลา:
- ข้อสอบ 100 ข้อ → ควรทำให้เสร็จภายใน 120 นาที
- ข้อที่ง่าย: ทำให้เสร็จภายใน 60 นาที
- ข้อที่ปานกลาง: ทำภายใน 40 นาที
- ข้อที่ยาก: ใช้เวลา 20 นาทีที่เหลือ
3. ใช้เทคนิค “ตัดช้อยส์” เพื่อลดเวลาในการเลือกคำตอบ
✅ หากไม่แน่ใจในคำตอบ ใช้วิธีตัดตัวเลือกที่ไม่น่าเป็นไปได้ออกก่อน
✅ เทคนิค True or False → ลองเปลี่ยนตัวเลือกให้เป็นคำตอบที่ถูกหรือผิด
ตัวอย่าง:
คำถาม: ประเทศไทยมีกี่ภาคหลัก?
A) 4
B) 5
C) 6
D) 7
➡️ ถ้าแน่ใจว่าไม่มี 7 ภาค ตัด D ออกก่อน
➡️ ถ้ารู้ว่าภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้คือ 4 ภาคหลัก ตอบ A

5. คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับข้อสอบ ก.พ.
การสอบ ก.พ. เป็นหนึ่งในข้อสอบที่ผู้ต้องการทำงานราชการต้องผ่าน ซึ่งหลายคนอาจมีคำถามเกี่ยวกับความยาก จำนวนครั้งที่สอบได้ และเงื่อนไขเกี่ยวกับอายุผลสอบ ในส่วนนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับคำถามที่พบบ่อย เพื่อช่วยให้ผู้สมัครเข้าใจและเตรียมตัวได้อย่างถูกต้อง
สอบ ก.พ. ยากไหม?
“ข้อสอบ ก.พ. ยากหรือไม่?” เป็นคำถามที่พบได้บ่อยในหมู่ผู้สมัครสอบ ความยากของข้อสอบ ก.พ. ขึ้นอยู่กับ พื้นฐานความรู้และการเตรียมตัวของแต่ละบุคคล
✅ เหตุผลที่ทำให้สอบ ก.พ. ดูยาก:
- ข้อสอบมีจำนวนมากและต้องทำให้ทันเวลา
- ผู้สอบต้องทำข้อสอบ 100 ข้อ ภายใน 2 ชั่วโมง
- เฉลี่ยแล้วมีเวลา ประมาณ 1.2 นาทีต่อข้อ ซึ่งหมายความว่าผู้สอบต้องอ่านและคิดวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว
- เนื้อหาครอบคลุมหลากหลายด้าน
- คณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์: ต้องใช้การวิเคราะห์และคำนวณอย่างแม่นยำ
- ภาษาไทย: ต้องมีทักษะด้านไวยากรณ์และการอ่านจับใจความ
- ภาษาอังกฤษ: ต้องเข้าใจโครงสร้างไวยากรณ์และคำศัพท์ที่ใช้ในราชการ
- การบริหารเวลาเป็นสิ่งสำคัญ
- หากไม่มีการซ้อมทำข้อสอบล่วงหน้า อาจทำให้ไม่สามารถทำข้อสอบได้ครบถ้วนทันเวลา
✅ วิธีลดความยากของข้อสอบ ก.พ.:
- เตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 3-6 เดือน
- ฝึกทำข้อสอบเก่า เพื่อให้คุ้นเคยกับแนวข้อสอบและรูปแบบคำถาม
- ฝึกจับเวลาในการทำข้อสอบ เพื่อเพิ่มความเร็วในการคิดและตอบ
สรุป: ถ้าผู้สอบมีการเตรียมตัวอย่างดี และฝึกทำข้อสอบสม่ำเสมอ โอกาสสอบผ่านจะสูงขึ้นมาก
สอบ ก.พ. ได้กี่ครั้ง?
✅ **สามารถสอบได้ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ซึ่งหมายความว่าหากสอบไม่ผ่านในปีหนึ่ง สามารถสมัครสอบใหม่ได้ในปีถัดไป
✅ ข้อดีของการสอบ ก.พ. คือ ไม่มีการจำกัดจำนวนครั้ง และไม่มีการกำหนดว่าต้องผ่านภายในระยะเวลากี่ปี
✅ หากสอบไม่ผ่านในครั้งแรก สามารถ นำประสบการณ์จากการสอบรอบที่ผ่านมา มาปรับปรุงและเตรียมตัวใหม่ในรอบถัดไป
✅ ผู้ที่เคยสอบไม่ผ่านควรเน้น การทบทวนจุดอ่อนของตัวเอง และ ฝึกทำข้อสอบเก่ามากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสสอบผ่านในการสอบครั้งถัดไป
ผลสอบ ก.พ. มีอายุกี่ปี?
ข้อดีของการสอบ ก.พ. คือ
✅ ผลสอบ ก.พ. ภาค ก มีอายุการใช้งานตลอดชีวิต
✅ หากสอบผ่านแล้ว ไม่ต้องสอบใหม่อีก
หมายความว่า
- ผู้ที่สอบผ่านภาค ก แล้ว สามารถใช้ผลสอบนี้สมัครสอบภาค ข และภาค ค ได้ตลอดชีวิต
- ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสอบซ้ำหรือการหมดอายุของผลสอบ
📌 ข้อควรรู้:
- ผลสอบ ก.พ. ใช้ได้กับทุกหน่วยงานราชการ ยกเว้นบางหน่วยงานที่มีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม
- หากต้องการสอบในระดับที่สูงขึ้น เช่น สอบบรรจุข้าราชการระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโท ผู้สอบต้องใช้วุฒิที่ตรงกับตำแหน่งงานที่สมัคร
ถ้าสอบไม่ผ่าน ต้องรอสอบอีกกี่ปี?
✅ สามารถสมัครสอบใหม่ในปีถัดไป โดยปกติสำนักงาน ก.พ. จะเปิดรับสมัครสอบปีละครั้ง
✅ หากสอบไม่ผ่าน ไม่ต้องรอนาน สามารถเตรียมตัวใหม่และสมัครสอบรอบถัดไปได้เลย
📌 คำแนะนำสำหรับผู้สอบไม่ผ่าน:
- วิเคราะห์ข้อสอบที่ทำพลาด
- ตรวจสอบว่าทำผิดพลาดในเรื่องใด เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ
- หากคะแนนคณิตศาสตร์ต่ำ ควรเน้นทำข้อสอบด้านตรรกศาสตร์และโจทย์คำนวณมากขึ้น
- กำหนดแผนการเตรียมตัวใหม่
- ฝึกทำข้อสอบเป็นเวลาอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง
- ศึกษาหลักไวยากรณ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพิ่มเติม
- ใช้เทคนิคการอ่านหนังสือที่ช่วยให้จดจำได้เร็วขึ้น เช่น Mind Map และ PQ4R
- สมัครสอบใหม่ทันทีที่มีประกาศรับสมัคร
- ติดตามข่าวสารจาก เว็บไซต์สำนักงาน ก.พ.
- เตรียมเอกสารและลงทะเบียนให้เรียบร้อย เพื่อไม่พลาดโอกาสสอบ
บทสรุป: การสอบ ก.พ. สำคัญแค่ไหน?
การสอบ ก.พ. เป็น ใบเบิกทางสำคัญ สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานในภาคราชการ หากคุณวางแผนทำงานในหน่วยงานราชการ การเตรียมตัวให้พร้อมคือกุญแจสู่ความสำเร็จ อย่ารอช้า เริ่มต้นอ่านหนังสือ และฝึกทำข้อสอบตั้งแต่วันนี้
ขอให้ท่านที่อ่านบทความนี้ทำข้อสอบได้อย่างมั่นใจ ผ่านฉลุย แชร์บทความนี้ให้เพื่อนที่กำลังเตรียมสอบ ก.พ. แล้วมุ่งสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน